คุยกับ ทีปกร โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Lotus Bedding Group ถึงเบื้องหลังการปั้นแบรนด์ OMAZZ ให้ติดตลาดไทยและตลาดโลก
เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะได้เห็นข่าวงาน “ซูเปอร์คอลแลบ” ของไทยกันมาบ้าง เมื่อโรงภาพยนตร์ SF จับมือแบรนด์เครื่องนอนระดับโลกสัญชาติไทยอย่าง OMAZZ (โอมาซ) เนรมิต The Bed Cinema by Omazz® โดยนำเตียงนอนนวดปรับระดับไฟฟ้ามาใช้งานจริงในโรงภาพยนตร์ เพื่อสร้างประสบการณ์การชมภาพยนตร์แบบเหนือระดับ ซึ่งเป็นไอเดียที่เรียกได้ว่าแหวกแนวไม่น้อยสำหรับแบรนด์เครื่องนอน
แต่เมื่อได้พูดคุยกับ ทีปกร โลจนะโกสินทร์ Group CEO ของ Lotus Bedding Group ผู้อยู่เบื้องหลังการปั้นแบรนด์ OMAZZ แล้ว จะพบว่าไอเดียที่แตกต่างนี้เองที่เป็นจุดตั้งต้นและเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ อีกทั้งยังเป็นแนวคิดของทีปกรเองที่คลุกคลีอยู่กับแบรนด์ที่นอนระดับตำนานอย่าง ‘ที่นอนโลตัส’ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก “เราต้องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แบบ ‘เหนือเมฆ’ ก็เลยเลือกทำเป็นที่นอนออร์แกนิคที่ผลิตด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ 100% ช่วยป้องกันไรฝุ่น ช่วยลดอาการภูมิแพ้ เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความต้องการที่จะให้ OMAZZ เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่างแท้จริง เราจึงสร้างนวัตกรรมเกิดเป็นคอลเลคชั่นที่นอนไร้ขอบกุ๊น หรือรูปทรงคล้ายเต้าหู้เป็นแบรนด์แรกในโลก ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกผสมผสานทั้งคลาสสิค และร่วมสมัย ทั้งตอบโจทย์ผู้ที่รักสุขภาพ และมีกำลังซื้อสูงครับ” ทีปกรกล่าว
สัมผัสนุ่ม เพื่อสุขภาวะที่ดีเรื่องราวของ OMAZZ เกิดขึ้นราวๆ ปีพ.ศ. 2547 เมื่อทีปกรได้ไปดูงานที่เยอรมนี แล้วได้พบกับที่นอนยางพารา “เป็นที่นอนที่ให้สัมผัสหนานุ่มเหมือนฟองน้ำ พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายวานิลลา ทำให้เกิดไอเดียที่ต้องการผลิตที่นอนในลักษณะนี้บ้าง หลังจากคำนวณต้นทุนแล้ว จึงตัดสินใจซื้อวัสดุจากผู้ผลิตเพื่อเอามาใช้ผลิตที่นอนของตนเอง เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ที่มีกำลังซื้อสูงที่กำลังมองหาที่นอนคุณภาพเยี่ยม ผมมองว่าเทรนด์ Wellbeing ในโลกปัจจุบันสะท้อนมุมมองของ User ที่มีต่อความเป็นอยู่อย่างชัดเจนว่าพวกเขาหันมาใส่ใจในประเด็นความสุขในรูปแบบ ‘สุขภาวะ’ มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้จะส่งผลถึงพฤติกรรมการบริโภคสินค้าในประเภทของที่นอน เพราะการนอนหลับพักผ่อนเป็นพื้นฐานของชีวิต ‘การมีชีวิตที่ดี’ จึงเกี่ยวพันโดยตรงกับพฤติกรรมการนอนเลยทีเดียว เพราะการนอนจะส่งผลถึงสภาพจิตใจ การควบคุมระบบความรู้สึก การทำงานของฮอร์โมนและเซลล์ต่างๆ และยิ่งไปกว่านั้น เราทุกคนทราบกันดีในเรื่องที่มนุษย์เราทุกคนใช้เวลาไปกับการนอนหลับมากกว่า 1 ใน 3 ของชีวิตเพื่อฟื้นฟู บำบัด และเจริญเติบโต จึงไม่แปลกหากเราจะบอกว่าที่นอนที่มีคุณภาพจะสามารถมอบชีวิตที่ดีให้กับคุณครับ”
ปั้นแบรนด์ รุกตลาดไฮเอนด์
เมื่อปักหมุดว่าต้องการจะทำตลาดลูกค้าระดับพรีเมียม OMAZZ จึงใช้กลยุทธ์การเล่าเรื่อง (storytelling) เป็นสำคัญในการทำการตลาด ทั้งในส่วนของวัสดุระดับพรีเมียมที่แบรนด์เลือกใช้ ขั้นตอนการผลิตที่ล้ำสมัย รวมถึงการตอบโจทย์ด้านความสงบและความสุขซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานทางอารมณ์ของมนุษย์ “เราจะเน้นย้ำตลอดว่า Peace is True Happiness ความสงบคือความสุขที่แท้จริง เพราะที่นอนของเรามีจุดยืนชัดเจนในเรื่องของวัสดุธรรมชาติ 100% และวัสดุพรีเมียมจากทั่วโลก เพื่อทุกมิติของความสบายที่ได้ทั้งสัมผัสผ่อนคลายและสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ เราจึงใส่ใจเรื่องการค้นหาชั้นวัสดุเพื่อการผลิตที่มีคุณภาพสูงที่สุดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยระดับโลก ซึ่งทุกคนขั้นตอนได้รับการดูแลโดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญ (Craftsmanship) รวมไปถึงการออกแบบที่ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน เราให้ความสำคัญกับ Branding และ Brand Communication เราคิดแคมเปญที่ไม่เหมือนใคร กล้าเล่น กล้านำเสนอ คิดงานโฆษณาที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกถึงคุณภาพที่ไม่มีใครเหมือน ตั้งแต่เราสร้างแบรนด์มาจนถึงจุดนี้ เราเชื่อว่าแค่เราตั้งใจทำให้ดี ก็ชนะผู้อื่นได้แล้วครับ”
ปัจจุบันนี้ ที่นอน OMAZZ มีจำหน่ายผ่านตัวแทนห้างสรรพสินค้าทั้งหมด 550 แห่ง และดีลเลอร์อีกว่า 700 แห่ง นอกจากนี้ยังมีช็อปแบบสแตน อะโลนในชื่อว่า OMAZZ Gallery Shop ในกรุงเทพฯ อีก 4 สาขา ได้แก่สาขาเอกมัย, MEGA Bangna, CDC และ Siam Premium Outlets ส่วนในต่างประเทศนั้นมีจำหน่ายในสิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, มาเลเซีย, ลาว, มัลดีฟส์, เนปาล, อินเดีย, เกาหลีใต้, ภูฏาน, แองโกลา, สหรัฐอเมริกาและไนจีเรีย โดยในอนาคตอันใกล้นี้ ทางแบรนด์มีแผนที่จะขยายการผลิตให้ขึ้น และเพิ่มสาขาในทุกทวีป
สุขภาวะดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ส่วนในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น OMAZZ จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของยุคสมัยโดยเน้นที่การชูจุดขายเรื่อง ‘ที่นอนสุขภาพ’ เป็นสำคัญ โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือ OMAZZ ViroClean ที่สามารถป้องกันและยับยั้งเชื้อโรคและไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ เราได้การรับรองประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อจุลชีพจากมาตรฐานสากล ASTME-2149 ซึ่งผลการทดสอบได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง เชื้อจุลินทรีย์ลดลง 98.43% และเมื่อวัดที่เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง :เชื้อไวรัสลดลง 86.62% ครับ”
ท้ายที่สุดแล้ว ทีปกรมองว่าสุขภาวะที่ดีจะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญในยุคโควิดและยุคหลังโควิด “โควิด-19 ทำให้เกิด New Normal ในสังคมโลกทั้งหมด แน่นอนว่าสำหรับสุขภาวะ (Wellbeing) นั้นก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน มีความเป็นไปได้ว่าสังคมอาจให้ความสำคัญของสุขภาวะในบริบททางสังคมและชุมชนน้อยลง แต่จะให้ความสำคัญกับสุขภาวะทางกายภาพ (Physical) ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานมากยิ่งขึ้น สุขภาวะที่ดีย่อมต้องเริ่มต้นจากร่างกายที่สมบูรณ์ ซึ่งก็คือสุขภาพนั่นเอง สิ่งนี้อาจเป็นเพียงเรื่องเดียวที่มั่นคงที่สุดไม่ว่าบริบทสังคมจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนครับ”
